การใช้งาน ของ เรือตอร์ปิโดยูโกสลาเวีย ที5

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง 87เอฟ ถูกนำมาใช้เพื่อลาดตระเวนคุ้มกันและกวาดทุ่นระเบิด รวมถึงปฏิบัติการต่อต้านเรือดำน้ำ[1] และภารกิจโจมตีชายฝั่ง[4][6] 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2459 87เอฟ และเรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250 ที อีกสองลำเข้าร่วมปฏิบัติโจมตีชายฝั่งใน ออร์โทนา และซาน วีโท ชีลติโน ของอิตาลี นำโดยเรือรบหุ้มเกราะ เซนต์ กีออร์ก [6] สามวันต่อมาเรือลาดตระเวน เฮลโกแลนด์ เรือยิงตอร์ปิโด 87เอฟ และเรือยิงตอร์ปิโดรุ่น 250ที อีกห้าลำถูกดักฟังโดย เรือประมงลาดตระเวนส่วนพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถ จากเมืองเวย์มัทของอังกฤษ และเรือพิฆาต บูคลิเออร์ ของฝรั่งเศสบริเวณทางตอนเหนือของเมืองดูร์เรสโซ ในแอลเบเนีย ในระหว่างการปะทะกันระหว่างสองฝ่ายมีเพียงเรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250ที 2 ลำเท่านันที่ได้รับความเสียหาย ในวันที่ 9 กรกฎาคมเรือลาดตระเวน นาวารา นำได้ร่วมกับ 87เอฟ และ เรือตอร์ปิโดชั้นไคมาน 2 ลำ ในการเข้าโจมตีกองเรือพันธมิตรที่ปิดกั้นช่องแคบโอตรันโต ผลของการปะทะทำให้เรือเดินสมุทรสองลำจมล่มลง[7] วันที่ 4 พฤศจิกายนเรือพิฆาตสามลำและเรือตอร์ปิโดสามลำของอิตาลีได้เผชิญหน้ากับเรือพิฆาตของออสเตรีย – ฮังการี สองลำ พร้อมเรือยิงตอร์ปิโดรุ่น 250 ที จำนวน 2 ลำ ทางตอนเหนือของทะเลเอเดรียติก วันรุ่งขึ้นเรือตอร์ปิโดสามลำของอิตาลีได้เข้าโจมตีบริเวณชายฝั่งแซนต์ เอลปิดิโอ[8] ในปี พ.ศ. 2460 ได้มีการติดตั้งปืน 66 มิลลิเมตรไว้บน 87เอฟ เพื่อใช้ปืนต่อต้านอากาศยาน[2] เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 เรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250ที สองลำได้เริ่มภารกิจโจมตีชายฝั่ง ซึ่งในภารกิจที่สอง 87เอฟ ได้เข้าร่วมกับเรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250ที เจ็ดลำกับเรือพิฆาตอีกหกลำในการการโจมตีชายฝั่งปอร์โตคอร์ซินี่ มารอตตา และ เซเซนาติโก[9]

เมื่อถึงปี พ.ศ. 2461 ฝ่ายพันธมิตรได้เพิ่มกำลังการปิดล้อมอย่างต่อเนื่องบนช่องแคบโอตรันโต ตามที่กองทัพเรือออสเตรีย - ฮังการีคาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลให้ปฏิบัติการณ์ของเรืออูของทั้งอออสเตรีย - ฮังการีและเยอรมันในทะเลเมดิเตอเรเนียนยากขึ้น ผู้บัญชาการกองทัพเรือออสเตรีย - ฮังการีคนใหม่ พลเรือตรีมิกโลช โฮร์ตี ตัดสินใจจะเข้าโจมตีกองเรือฝ่ายพันธมิตรโดยเรือประจัญบาน เรือลาดตระเวนและเรือพิฆาต [10]ในตอนกลางคืนของวันที่ 8 มิถุนายน โฮร์ตี ได้นำทัพเรือออกจากฐานทัพเรือโพลาในทะเลเอเดรียติกตอนบนพร้อมเรือประจัญบานเดรดนอต วิริบัส ยูนิทิส และ พรินซ์ออยเกน เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2461 หลังจากมีปัญหาในการนำโซ่กันเรือในท่าเทียบเรือออก เรือประจัญบานเดรดนอต เซนต์ อิชต์วาน และ เทเก็ททอฟ [11] เรือพิฆาตหนึ่งลำและเรือยิงตอร์ปิโดหกลำซึ่งรวมถึง 87เอฟ ได้ออกจาก โพลา ไปยัง สลาโน ทางตอนเหนือของรากูซา (ปัจจุบันคือเมืองดูโบรฟนิก) เพื่อนัดพบกับกองเรือของโฮร์ตีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าโจมตีกองเรือพันธมิตรบริเวณช่องแคบโอตรันโต ในวันที่ 10 มิถุนายน เวลาประมาณ 03:15 [lower-alpha 2]ในขณะที่เรือยนต์ยิงตอร์ปิโดสองลำของราชนาวีอิตาลี (อิตาลี: Regia Marina) เอ็มเอเอส 15 และ เอ็มเอเอส 21 กลับจากการลาดตระเวนนอกชายฝั่งแดลเมเชียได้เห็นควันจากเรือของออสเตรีย - ฮังการี ทั้งสองลำประสบความสำเร็จในการเจาะการคุ้มกันส่วนหน้าและแยกทางกันโดย เอ็มเอเอส 21 เข้าโจมตีเรือเทเก็ททอฟ แต่ตอร์ปิโดยิงพลาดเป้า [13] ณ เวลา 03:25 น. เอ็มเอเอส 15 ภายใต้การบังคับบัญชาของ ลุยจิ ริซโซ่ ยิงตอร์ปิโดสองลูกถูกเรือเซนต์ อิชต์วาน ซึ่งทำให้ห้องหม้อไอน้ำของเรือ เซนต์ อิชต์วาน เป็นรูรั่ว น้ำได้เข้าท่วมตัวเรือแต่ไม่สามารถระบายได้เนื่องจากน้ำได้ทำลายระบบพลังงานปั้มสูบน้ำไปแล้ว สามชั่วโมงต่อมาเรือ เซนต์ อิชต์วาน ได้อับปางลง[12] ในตุลาคม พ.ศ. 2461 ท่าเรือในเมืองดูร์เรสโซที่แอลเบเนียถูกระดมยิงโดยกองทัพเรือพันธมิตร 87เอฟ รอดจากการถูกโจมตีแต่เรือได้รับความเสียหายเล็กน้อย ซึ่งนั้นเป็นการทำหน้าที่สุดท้ายให้กับกองทัพเรือออสเตรีย - ฮังการี[14]

สมัยระหว่างสงคราม

เรือยิงตอร์ปิโด 87เอฟ สามรถรอดจากสงครามได้[1] ใน พ.ศ. 2463 ภายใต้เงื่อนไขของสนธิสัญญาแซ็ง-แฌร์แม็ง-อ็อง-แล ทำให้เรือตกเป็นของราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน (KSCS, ภายหลังคือราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย) พร้อมกับเรือยิงตอร์ปิโดลำอื่นอีกในชั้น 250ที ได้แก่เรือกลุ่มเอฟ ได้แก่ 93เอฟ 96เอฟ และ 97เอฟ และเรือกลุ่มที สี่ลำ ต่อมาเรือได้เข้าประจำการใน ราชนาวียูโกสลาเวีย (เซอร์โบ-โครแอต: KJRM; Кpaљeвcкa Југословенска Pатна Морнарица) ซึ่งได้รับเรือในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2464[15] และได้ถูกปล่อยชื่อเป็น ที5[2] ใน พ.ศ. 2468 ได้มีการจัดการซ้อมรบตามชายฝั่งแดลเมเชียซึ่งเกี่ยวข้องกับกองทัพเรือส่วนใหญ่[16] การซ้อมรบในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2472 มีเรือยิงตอร์ปิโดชั้น 250ที จำนวน 6 ลำซึ่งมาพร้อมกับเรือลาดตระเวน Dalmacija เรือสนับสนุนเรือดำน้ำ Hvar และเรือดำน้ำ Hrabri และ Nebojša ล่องเรือไปยังเกาะมอลตา เกาะคอร์ฟูของกรีซ ในทะเลไอโอเนียน และเมือง บีเซิร์ท ในตูนิเซียใต้อารักขาของฝรั่งเศส ซึ่งไม่ชัดเจนว่า ที5 เป็นหนึ่งในเรือยิงตอร์ปิโดที่อยู่ในการซ้อมรบหรือไม่ ซึ่งเรือและลูกเรือสร้างความประทับใจที่ดีมากในขณะเดินทางเยือนมอลตา[17] ใน พ.ศ. 2475 กองเรือราชนาวีอังกฤษรายงานว่าราชนาวียูโกสลาเวียอยู่ในช่วงขาดงบประมาณทำให้การซ้อมรบและการฝึกยิงปืนใหญ่ลดลง[18]

สงครามโลกครั้งที่สองและหลังสงคราม

ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2484 ยูโกสลาเวียเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองเมื่อเยอรมนีรุกรานยูโกสลาเวีย โดยในช่วงเวลาการรุกราน ที5 ได้รับมอบหมายให้อยู่ในกองเรือยิงตอร์ปิโดที่ 3 อยู่ใน ซิเบนิก ร่วมกับเรือกลุ่มเอฟอีกสามลำ[19] เมื่อวันที่ 8 เมษายน เรือยิงตอร์ปิโดทั้งสี่ลำของกองเรือยิงตอร์ปิโดที่ 3 พร้อมกับเรือลำอื่นถูกมอบหมายให้สนับสนุนการโจมตีเขตอิตาลีที่ซาดาร์ บนชายฝั่งแดลเมเชีย กองเรือถูกโจมตีทางอากาศจากกองทัพอากาศอิตาลีสามครั้งและหลังจากที่แล่นออกจากพื้นที่ซาทอนลงสู่ทะเลสาบ Prokljan ซึ่งกองเรืออยู่จนถึงวันที่ 11 เมษายน[20] ในวันที่ 12 เมษายนกองเรือยิงตอร์ปิโดที่ 3 ถึงเมืองมิลนาบนเกาะบราช และก่อนที่จะปฏิเสธที่คำสั่งให้แล่นเรือไปที่อ่าวคาร์[21] ในที่สุดทั้งสี่ลำถูกยึดโดยอิตาลี[22]

ที5 ได้เข้าประจำการในราชนาวีอิตาลีทำหน้าที่คุ้มกันชายฝั่งและเส้นทางเดินเรือในทะเลเอเดรียติก เรือได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยโดยแทนปืนต่อต้านอากาศยานด้วยปืน 76 mm (3.0 in) แอล/40 [23] แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้แตกต่างจากเดิมมากหนัก[24] หลังจากที่อิตาลียอมจำนนในเดือนกันยายน พ.ศ. 2486 อิตาลีก็ส่งมอบเรือคืนในเดือนธันวาคมของปีนั้น[1] ที5 ได้กลับเข้าประจำการในยูโกสลาเวียหลังสงครามและเปลี่ยนชื่อเป็น เคอร์ เรือถูกติดตั้งปืนขนาด 40 mm (1.6 in), 40 mm (1.6 in) และ ปืน 20 mm (0.79 in) และท่อตอร์ปิโดถูกถอดออก เรือยังทำหน้าที่จนกระทั่งปลดประจำการใน พ.ศ. 2505[25]